วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

8 สมุนไพรใกล้ตัวแก้หวัด thaihealth
ช่วงนี้อากาศบ้านเราเปลี่ยนแปลงบ่อย แดดจัดอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาซะอย่างนั้น ถ้าเราอยู่ในช่วงร่างกายอ่อนแอ แน่นอนว่าไข้หวัดจะต้องถามหาแน่



โรคที่มาพร้อมฤดูกาลนี้มักเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ไอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ มีเสมหะ ลองเปลี่ยนจากการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน มาเป็นสมุนไพรใกล้ตัว ที่สามารถหาได้ง่ายๆดีกว่า
1. ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้เจ็บคอ
วิธีทำคือ ให้คุณใช้ใบของต้นฟ้าทะลายโจร นำมาตากแห้งแล้วบดให้เป็นผงปั้นกับน้ำผึ้งเป็นยาลูกกลอน
2. หัวหอมแดง มีสรรพคุณช่วยให้หายใจสะดวกและโล่งขึ้น
วิธีทำคือ นำหัวหอมแดงมาทุบให้พอบุบ จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวบางแล้วนำไปวางไว้ใกล้ๆ หมอน
3. กระเทียมสด ช่วยรักษาอาการเจ็บคอ มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
วิธีทำคือ ให้คุณนำกระเทียมมาปอกเปลือกและสับให้ละเอียด จากนั้นก็รับประทานแบบสดๆ
4. ขิง มีสรรพคุณแก้ไอและขับเสมหะ
วิธีทำคือ ให้คุณเลือกขิงแก่ นำมาหั่นให้เป็นแว่น ตำและคั้นเอาน้ำ จากนั้นให้นำมาผสมกับน้ำมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย แล้วดื่ม
5. ยูคาลิปตัส ใช้สูดดม สามารถช่วยแก้อาการหายใจไม่สะดวก
วิธีทำคือ นำใบของต้นยูคาลิปตัสไปต้ม แล้วเอาน้ำร้อนที่ได้จากการต้มมาสูดดม
6. มะนาวผสมน้ำผึ้ง มีสรรพคุณแก้เจ็บคอ ช่วยให้หายใจโล่ง ลดอาการไอ ลดเสมหะ
วิธีทำคือ นำมะนาวมาคั้นให้ได้น้ำ จากนั้นให้ผสมกับน้ำผึ้งและนำมาชงกับน้ำร้อนดื่ม
7. ส้มเขียวหวาน มีส่วนช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น เพราะส้มมีวิตามินสูง จะปอกเปลือกรับประทานเลย หรือจะคั้นและเอาน้ำมาดื่มก็ได้
8. มะขามป้อม มีสรรพคุณแก้ไอและขับเสมหะ โดยใช้ผลสดจิ้มกับเกลือและรับประทาน
สมุนไพรที่กล่าวมาข้างต้น สามารถหาได้ง่ายจากในครัวเรือนของเราเอง วิธีนำมาแปรรูปเป็นยาแก้หวัดและอาการอื่นๆ ก็ไม่ยุ่งยากจนเกินไป ลองเปลี่ยนจากกินยาแผนปัจจุบันมาเป็นยาสมุนไพรบ้าง ก็ดีไม่น้อยเลย แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 5 - 7 วัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไปจะดีกว่านะ
5 วิธีบริหารดวงตาคลายล้าลดปวด thaihealth
วันนี้เรามีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วย ฟื้นฟูดวงตาจากความเมื่อยล้า รวมทั้งอาการปวดตา ที่รับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน1. ประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ: ท่าแรกเริ่มกันง่ายๆ ในขณะที่คุณนั่งทำงานอยู่ แล้วรู้สึกล้าสายตาขึ้นมาให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างพอให้เกิดความร้อนหน่อยๆ จากนั้นหลับตา แล้วทำมือเป็นรูปทรงคล้ายถ้วย มาประคบดวงตาทั้งสองข้างทิ้งไว้สักครู่ ให้ไออุ่นจากฝ่ามือคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่เครียดเกร็งจากการเพ่งจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ

2. กะพริบตาทุก 4 วินาที: สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเพลียสายตา และทำให้ตาแห้งแสบก็เป็นเพราะเราไม่ยอมกะพริบตานั่นเอง ยิ่งในขณะที่ใช้สมาธิทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะลืมกะพริบตาโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำว่าควรกะพริบตาทุกๆ 4 วินาที
3. กลอกตาทุกๆ ชั่วโมง: อีกท่าบริหารสายตาง่ายๆ เพียงแค่หลับตา แล้วกลอกตาเป็นวงกลมประมาณ 1 นาทีเป็นอย่างต่ำ นอกจากจะเป็นการพักเบรกสายตาจากแสงและรังสีของคอมพิวเตอร์แล้ว ท่าบริหารท่านี้ยังเหมือนการนวดดวงตาให้คลายความเกร็งได้อีกด้วย
4. กวาดสายตาระยะไกล: ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ให้คุณบำรุงสายตาด้วยการถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะทำได้ และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อยๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง หรือมุมไหนของห้องก็ได้ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในห้องเป็นแนววงกลม อาจจะไล่มองจากทีวี โซฟา โต๊ะทำงาน หน้าต่าง โมบาย หรืออื่น ๆ เป็นต้น แค่นี้ก็เหมือนได้ยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อตาได้เยอะแล้วล่ะ
5. ซิทอัพดวงตา: ในคราวที่รู้สึกปวดตาจนร้อนกระบอกตาผ่าว ให้คุณหลับตาลงแล้วเหลือบตาขึ้น - ลงสักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นแล้วกวาดสายตามองผ่านๆ ประมาณ 1 นาที เสร็จแล้วเริ่มยกใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ให้หลับตาแล้วเหลือบตาไปด้านซ้าย - ขวา ประมาณ 1 นาที จากนั้นลืมตาขึ้น แล้วมองผ่านๆ อีกรอบ เว้นระยะห่างสัก 2 - 3 นาที แล้วเริ่มบริหารตาใหม่อีกครั้ง สามารถทำไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
เพราะว่าดวงตานั้นเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เราควรทะนุถนอมและดูแลเป็นอย่างดี การดูแลดวงตาที่ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่การใช้งานดวงตาหนักๆ แล้วค่อยมาหาวิธีผ่อนคลาย แต่ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานดวงตาในแต่ละวัน จากหนักให้เบาลง เพื่อยืดคุณภาพของดวงตาให้อยู่กับเราไปนานๆ


5 อาหาร อารมณ์ดี  thaihealth
วันนี้เรามี 5 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ที่เมื่อคุณได้กินแล้วรับรองว่า ความเครียดจะหาย และกลายเป็นคนอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน
1. ปลา: ความเครียดส่วนใหญ่นั้นมีเกิดมาจากการที่ระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 ต่ำ ดังนั้นเราจึงควรทานอาหารที่สามารถเพิ่มแร่ธาตุนี้ได้ ด้วยการกินปลา โดยงานวิจัยจากผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าฃพบว่า เมื่อพวกเขาได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากปลา 1,000 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน ช่วยให้พวกเขามีอาการดีขึ้น รวมถึงกังวัลน้อยลงและนอนหลับได้สนิทมากยิ่งขึ้น ซึ่งปลาที่มีโอเมก้า3 สูง ได้แก่ปลาน้ำลึก เช่น ปลาซาดีน ปลาแมคเคอเรล หรือ ปลาแซลมอน เป็นต้น
2. ผักสีเขียวเข้ม: บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง และผักขม เป็นผักที่มีวิตามินบีรวมสูง สามารถช่วยในเรื่องปรับสมดุลอารมณ์ของคุณ งานวิจัยพบว่าคนที่มีความเครียดเกิดจากการขาดเจ้ากรดโฟเลตที่เป็นสารอาหารในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งการขาดสารอาหารดังกล่าว จะทำให้สารสื่อประสาท เซโรโทนิน ลดลง ซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีหน้าที่ในการช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์นั่นเอง หากคุณอยากมีอารมณ์ดี แจ่มใส คุณจึงควรทานผักผลไม้เยอะๆ
3. ไข่และหมู: จิตแพทย์และผู้เขียนเรื่อง The Happiness Diet  ดรูว์ แรมซี่  บอกว่า ไข่จากไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยนอกเล้ามีวิตามินบี 12 สูงมาก เนื่องจากไก่ไม่มีความเครียด และหมูที่เลี้ยงในทุ่งหญ้า เมื่อนำมาผลิตเป็นเบคอนจะมีกรดโอเลอิก ที่มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดสำหรับผู้หญิงได้ดี โดยโคลินในวิตามินบีจากทั้งไข่และหมู จะช่วยทำให้ความเครียดลดลงนั้นเอง
4. ถั่ว: แม้ถั่วจะย่อยยาก แต่เจ้าถั่วเนี่ยแหละ ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสมดุล ที่สำคัญคือมันยังมีกรดโฟเลตและอุดมไปด้วยทริปโตแฟนในกรดอะมิโน นอกจากนี้เมื่อกินถั่วแล้วยังทำให้เราขับถ่ายได้ดีอีกด้วย นี้แหละคือเหตุผลว่าทำไมเจ้าถั่วของเราก็ติด 1 ใน 5 อาหารอารมณ์ดี
5. มะเขือเทศ: นอกจากอุดมไปด้วยสารไลโคปีนแล้ว มะเขือเทศยังมีกรดโฟลิคที่ช่วยต้านการก่อตัวของสารโฮโมซิสเตอีนในร่างกาย หากสารโฮโมซิสเตอีนมากเกินไป จะไปรบกวนต่อระบบประสาทซึ่งทำให้เราควบคุมอารมณ์ของเราได้ไม่ดีเท่าที่ควร